คนส่วนมากคิดว่า มีการศึกษาสูง มีทรัพย์ สมบัติมาก มีครอบครัวที่สมบูรณ์ มีสุขภาพแข็งแรง และมีเกียรติยศชื่อเสียง จึงจะพบกับ ความสุข หารู้ไม่ว่ากำลังจมอยู่กับอดีต หรือติดอยู่ กับอนาคต เพราะชีวิตที่สมบูรณ์แบบอย่างนั้น ไม่เคยมี หรือถ้าจะพูดกันอีกแง่หนึ่งแล้ว เป้าหมาย ชีวิตทางโลกที่เราทุกคนใฝ่ฝันถึงนั้น ไม่เคยมีใคร เดินถึง เพราะความต้องการของมนุษย์นั้น ไม่เคย ยุติ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ถมเท่าไรไม่รู้จักเต็ม
ตามความเป็นจริงของชีวิตนั้น สุขและ ทุกข์ที่ทุกคนกำลังประสบอยู่ เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว บนเส้นทางสายสังสารวัฏนี้ มีสามีชั่วคราว มีภรรยา ชั่วคราว มีบุตรธิดาชั่วคราว มีทรัพย์สมบัติชั่วคราว แล้วก็พลัดพรากจากกันไป เมื่อเกิดในภพชาติใหม่ ก็พากันแสวงหาสุขชั่วคราวและทุกข์ชั่วคราวอยู่ ร่ำไป และยึดเอาสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นของตนเอง เกิดแล้วตายตายแล้วเกิด จำเจซ้ำซากอย่างน่าอึดอัด ระอา ไม่รู้ว่าจะหาทางออกจากกับดักคือการเวียน ว่ายตายเกิดนี้ได้อย่างไร
สิ่งที่เป็นของเราจริงๆ คือปัจจุบันขณะ ซึ่งไม่ใช่วินาทีหนึ่งด้วยซ้ำไป แต่ปัจจุบันขณะนั้นเกิดและดับไปอย่างรวดเร็วมาก จนทำได้เพียง อย่างเดียวเท่านั้นคือ“รู้” เพราะก่อนหน้านี้หนึ่ง ขณะจิตก็ดับไปแล้ว หลังจากนี้อีกหนึ่งขณะจิตก็ยัง ไม่เกิดขึ้น
ความเป็นจริงที่ทารุณต่อความรู้สึกของ คนที่ไม่เคยฝึกจิตก็คือ “ตัวเรา-ของเรา” ที่แท้จริง นั้นไม่มี มีแต่เพียงความยึดมั่นถือมั่นในกายใจ หรือรูปนามนี้ว่าเป็นตัวเรา-ของเราเท่านั้น วัตถุที่ ทุกคนแสวงหาในทางโลกทั้งหมด จึงเป็นเพียง ความสูญเปล่าเท่านั้นเอง
เคยสังเกตใจตนเองบ้างไหมว่า
เบื่อได้ทั้งวัน แต่ไม่รู้ว่าเบื่ออะไร
เครียดได้ทั้งวัน วุ่นวายได้ทั้งวัน หมดทั้ง พลังทางกายและใจแต่ไม่รู้ตัวว่า เครียดอะไร
ฟุ้งซ่านได้ทั้งวันก็ไม่รู้ตัวว่าฟุ้ง
จมอยู่กับอดีตเช่น ซึม เศร้า เหงา แฮ้งค์ ได้ทั้งวันแต่ไม่รู้ตัว
คิดวนเวียนซ้ำซากกับเรื่องเดิมๆ และทุกข์ กับมันได้ทั้งวัน โดยไม่รู้ตัว
อ่านหนังสือไปครึ่งหน้าแล้ว แต่ไม่รู้ว่า อ่านอะไร
หรือทานอาหารมื้อนั้นจนอิ่มแปร้แล้ว แต่ ไม่รู้ว่าทานอะไรเข้าไปบ้างฯลฯ
ชีวิตของคนส่วนมาก จึงตกอยู่ภายใต้ อำนาจของความไม่รู้อยู่ตลอดเวลา แต่หลงเข้าใจ ผิดคิดว่าตนเองมีสติรู้ตัวอยู่
ฉะนั้นชีวิตที่แท้จริง คือชีวิตที่รู้อยู่กับปัจจุบันขณะ และคนที่มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันขณะ ได้นั้น คือคนที่มีสติรู้เท่าทันปัจจุบันอารมณ์ตามความเป็นจริงอยู่เนืองๆ นั่นเอง อาจกล่าวได้ว่า ที่มนุษย์จมอยู่กับความทุกข์ ก็เพราะความไม่รู้ในปัจจุบันขณะนั่นเอง ทำอย่างไรหนอ ทุกคนจึงจะเลิกเดินวนอยู่ในเขาวงกต ตื่นขึ้นมาจากฝันกลางวันและมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันขณะให้มากขึ้น
พระพุทธเจ้าทรงสละชีวิตของพระองค์ทั้ง ชีวิตทดลอง, ศึกษา, ปฏิบัติและสัมผัสผลแห่ง ความสุขถาวร อันเกิดจากการรู้ปัจจุบันขณะ แล้ว นำมาสั่งสอนแนะนำมนุษย์ ให้หลุดพ้นจากเขา วงกตแห่งสังสารวัฏมานานกว่า ๒๕๐๐ ปีแล้ว และคำสอนเหล่านั้นก็ยังเป็นสัจธรรมที่เราทุกคน
สามารถพิสูจน์ได้จนถึงวันนี้
สิ่งนั้นก็คือการมีสติสัมปชัญญะ“รู้”กาย และใจนี้ อันเป็นคัมภีร์แห่งความพ้นทุกข์ ซึ่งแต่ ละคนแบกคัมภีร์เล่มนี้กันมาหลายภพหลายชาติ แล้ว แต่ไม่เคยเปิดอ่านกันเสียที